31 กรกฎาคม 2552

The Richest Man in Babylon (เศรษฐีชี้ทางรวย) [3]

จงทำให้ทองคำของท่านทวีคูณขึ้น
Credit : Larsthrows

[หน้าที่ 41-42] "ลูกศิษย์ของข้า ข้าจะบอกให้ว่า ความมั่งคั่งของคนเราไม่ได้อยู่ที่เหรียญในถุงเงินของเขา แต่อยู่ที่รายได้ที่เขาสร้างขึ้น อยู่ที่กระแสทองคำซึ่งหลั่งไหลเข้าสู่ถุงเงินของเขาอย่างไม่ขาดสาย และทำให้ถุงเงินของเขาเต็มแน่นอยู่เสมอ นี่คือสิ่งที่ทุกคนปรารถนา นี่คือสิ่งที่พวกท่านแต่ละคนปรารถนา... รายได้ที่มีมาไม่ขาดสาย ไม่ว่าพวกท่านจะทำงานหรือเดินทางท่องเที่ยว"

(กระแสรายได้มักเป็นสิ่งที่นักลงทุนส่วนใหญ่ต้องคำนึงถึงเสมอ เมื่อคิดถึงการลงทุนสิ่งใดสักอย่างหนึ่ง เพราะกระแสรายได้ที่เข้าสู่กระเป๋าเงินของเรา ก็เปรียบเสมือน สายน้ำที่หลั่งไหลลงสู่หนองน้ำ ซึ่งหากน้ำนั้นมาจากแม่น้ำเล็กๆ ที่ชื่อว่า "การทำงานของตัวเราเอง" เพียงสายเดียวแล้วล่ะก็ หนองน้ำแห่งนั้น ก็คงยากที่จะถูกเติมเต็มจนกลายเป็นทะเลสาบ หรือมหาสมุทรได้ การมองหาการลงทุนที่เหมาะสมจึงเสมือนการเพิ่มสายน้ำสายอื่นๆ ให้หลั่งไหลมารวมที่เดียวกัน เพิ่มทวีคูณความเร็วในการทำให้มันเป็นแหล่งน้ำขนาดใหญ่ที่จะเติมเต็มความฝันของเราได้ในอนาคต)

[หน้าที่ 43] "ดังนั้น ในเวลาห้าสิบปี เงินทุนได้ทวีขึ้นเกินสิบเจ็ดเท่า"

(ท่านเคยคิดไหมว่า ถ้าลงทุนเงิน 1 ล้านบาทในวันนี้ อีก 50 ปี เงินก้อนนั้นเติบโตแบบทบต้นจนกลายเป็น 17 เท่า นั้นคิดเป็นผลตอบแทนการลงทุนเท่าไร... คำตอบที่ถูกต้อง คือ 5.83% ต่อปีนั่นเอง แล้วถ้าผลตอบแทนการลงทุนเป็น 9.65% ต่อปี ลงทุน 50 ปี จะกลายเป็นเงิน 100 เท่าครับ พอจะเห็นความมหัศจรรย์ของการทวีคูณหรือยังล่ะครับ ^^)

30 กรกฎาคม 2552

เรื่องเงิน ? ทำไมถึงต้องรู้

ที่มาของภาพ : www.newschool.in.th

โดยส่วนใหญ่แล้ว คนเรามักจะสนใจศึกษาในเรื่องที่มีความเกี่ยวข้องกับตนเอง แต่บางครั้งเรากลับละเลยการศึกษาเรื่องที่มีประโยชน์กับตัวเราจริงๆ เช่น เรื่องเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพกาย สุขภาพจิต ศาสนา รวมไปถึง เรื่องเกี่ยวกับ "เงิน"

ทำไมเราจึงควรศึกษาเรื่อง "เงิน" จึงเป็นคำถามเริ่มต้น และเป็นคำถามที่ดี เพราะว่าหากเราไม่ทราบเหตุผลในสิ่งที่เราจะทำ มันอาจจะทำให้เราขาดความสนใจอย่างแท้จริงในการศึกษาสิ่งนั้น เช่น ถ้าคุณอ่านหนังสือเรียนแก้เซ็ง คุณคงจำอะไรได้ไม่มากนัก แต่ถ้าพรุ่งนี้คุณจะสอบล่ะก็มันก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง (เป้าหมายการอ่านหนังสือ คือ การสอบ) สำหรับเหตุผลที่ทำไมเราจึงต้องมานั่งปวดหัว ศึกษาเรื่องเงินนั้นก็พอจะแจกแจงตามคิดของผมได้ดังนี้

1. เพราะคนส่วนใหญ่มีปัญหาเรื่องเงิน หรือ คนส่วนใหญ่ไม่ว่ามีเงินมาก หรือน้อยเท่าใด ก็มักมีเรื่องกลุ้มใจเกี่ยวกับเงินเสมอ มีเงินมากก็ไม่รู้ทำอย่างไรกับเงินดี มีเงินน้อยก็ไม่รู้จะหาเพิ่มจากไหนดี ไม่มีเงินเลยก็อยู่รอดลำบากในสังคมแบบเมืองใหญ่อย่างทุกวันนี้

2. เพราะคำแนะนำเรื่องเงินบ่อยครั้งที่มันฟรี แต่มักไม่ค่อยได้ผล ซึ่งส่วนหนึ่งเพราะบ่อยครั้งที่คำแนะนำนั้นมีผลประโยชน์แอบแฝงจากผู้แนะนำเอง เช่น แนะนำเงินฝากที่ธนาคารของเราได้ดอกเบี้ยสูง ก็เพราะธนาคารกำลังต้องการให้ลูกค้าฝากเงิน หรือ แนะนำให้ซื้อขายหุ้นบ่อยๆ ก็เพราะบริษัทโบรกเกอร์ที่ซื้อขายหุ้นให้คุณจะได้ค่าคอมมิชชั่น (เงินที่ต้องจ่ายเวลาคุณซื้อหรือขายหุ้น) โดยไม่จำเป็นว่าคุณจะกำไรหรือขาดทุนก็ตาม เพราะเขาไม่ได้เสียเงินเวลาคุณขาดทุนจากการขายหุ้น แต่ในทางกลับกันเขาก็ไม่ได้ได้เงินมากขึ้นเมื่อคุณได้กำไรจากการขายหุ้นเช่นกัน

3. คนจบการศึกษาภาคบังคับส่วนใหญ่ไม่เคยเรียนวิชาที่ว่าด้วย "การจัดการเงินของตัวคุณเอง" ซึ่งผมคิดว่ามันเป็นคำง่ายๆ ที่ตรงตัวสำหรับภาษาอังกฤษที่ว่า "Personal Finance" หรือ "การจัดการการเงินส่วนบุคคล" ทั้งๆ ที่โดยส่วนตัวแล้วผมว่ามันสำคัญกว่าวิชาเสริมที่ผมเคยเรียนในตอนมัธยมต้นอย่างวิชาเพาะเห็ดฟาง, วิชาการช่างเบื้องต้น สอบตอกตะปู 3 ตัวในเวลา 1 นาที (จะรีบอะไรขนาดนั้น) เลื่อยไม้ และอื่นๆ, ส่วนวิชาอิเล็กทรอนิคเบื้องต้น เรียนบัดกรี แต่ผมก็ไม่ได้เรียนวิชาการเงินเบื้องต้นในสมัยมัธยมต้นและมัธยมปลายค่อนข้างแน่นอน ผมคิดว่าวิชาทั้ง 3 ที่ได้พูดถึงนั้นก็มีประโยชน์ แต่อย่างไรก็ดี การศึกษาเรื่องเงินก็น่าจะมีประโยชน์มากกว่า และคุณต้องใช้มันอย่างแน่นอน (ผมไม่เคยเพาะเห็ดอีกเลยหลังจากเรียนจบวิชานั้น และตอกตะปูน้อยครั้งมากๆ ที่สำคัญที่สุด คือ ไม่เคยรีบตอก 3 ตัวในเวลา 1 นาทีในชีวิตจริงเลย)

แต่อาจเพราะบังเอิญ ผมได้เกิดมาในครอบครัวคนค้าขาย จึงได้ข้อแวะเรื่องเงินๆ ทองๆ ตั้งแต่ยังเด็ก บวกกับหนังสือหลายๆ เล่มที่ได้อ่าน จึงคิดว่าพอจะมีคำแนะนำที่พอจะเป็นประโยชน์กับคนอื่นๆ บ้าง จึงได้พยายามเขียนแนวคิดของตนเอง เพื่อเป็นประโยชน์กับผู้อื่นได้บ้างไม่มากก็น้อยครับ

หวังว่าสุดท้ายนี้ คงจะช่วยให้ท่านได้สนใจที่ศึกษาในเรื่องการเงินขึ้นมาบ้างไม่มากก็น้อยครับ เพราะผมเชื่อว่ามันจะช่วยท่านได้ เฉกเช่นกับ หลายๆ สิ่งในโลกใบนี้ เมื่อท่านใช้มันอย่างถูกวิธี มันจะกลายเป็น "ยา" ที่สร้างประโยชน์ให้ท่านได้ แต่ความไม่รู้จะทำให้สิ่งนั้นกลายเป็น "พิษ" ที่ฆ่าท่านได้เช่นกัน

- โอกาสมีเสมอครับ สำหรับทุกคนที่พร้อม
- ฝันให้ไกล และพยายามไปให้ถึง

29 กรกฎาคม 2552

Imagine-nation : Creator 's Interview Special [29/07/2552]

(อนึ่ง ผมจำได้ว่าสกู๊ปพิเศษนี้ถูกวนมาฉายซ้ำหลายรอบแล้ว โดยครั้งล่าสุดคือ เมื่อวันที่ 10/06/2552 โดยเท่าที่จำได้คือรายละเอียดทั้งหมด หรือส่วนใหญ่ เหมือนเดิม จึงไม่ทราบว่าทำไมต้องมีการฉายซ้ำอีก จึงเรียนมาให้ทราบโดยทั่วกัน)

1. Tsutomu Takahashi (ผู้เขียน Jiraishin, Sky High, Sidooh)
ในการสัมภาษณ์มีการพูดถึงเรื่อง Jiraishin ว่าเป็นแนวที่เน้นความเหมือนจริงของสถานการณ์ (Reality) โดยเข้าใจว่าเป็นเรื่องของนักสืบที่ตามจับอาชญากร และเมื่อถึงจุด Climax ของเรื่องเขาก็พยายามทำให้ฆาตกรกระทำการบางอย่างที่เหมือนเป็นการระเบิดออกมา (ถ้าเข้าใจไม่ผิดรู้สึกว่าเขาจะไม่ชอบการคลี่คลายคดีที่ดูนิ่งๆ แบบเรื่องนักสืบทั่วๆ ไป)

เขาชอบความเป็น Manga ที่บางอย่างดูโอเวอร์เกินไป แต่ทุกคนก็รับได้ เช่นถ้ามีคนหมุนตัวกลางอากาศ ลงมาผ่าคนขาดเป็น 2 ซีก ถ้าเป็นหนังคนดูจะรู้สึกว่ามันเป็นไปไม่ได้ แต่ถ้าเป็น Manga คนจะยอมรับการเป็นไปเช่นนี้ได้

เมื่อคุยถึงเรื่องการเขียน Manga เขาจึงบอกว่า เขาคิดว่า Manga นั้นจริงๆ แล้วมีแค่ "ดำ" กับ "ขาว" (Black and White) ดังนั้นเขาจึงเน้นในภาพที่ออกมา Clear ที่สุด (เข้าใจว่าเขาคงไม่ชอบแนวภาพที่มืดๆ ทึมๆ หรือลายเส้นที่เหมือนภาพร่าง ที่ต้องการสื่อถึงอารมณ์ที่สับสน หรือการเคลื่อนไหว กระมังครับ)

2. Ryoei Mikage [Game Creator] ผู้สร้าง Luminous Arc

ที่มาของภาพ www.animegamesblog.com

เขาเล่าว่าที่มาคือ เขาต้องการสร้างแนวเกมที่ผสมผสานแนวความคิดของ Foreign and Japanese RPG โดยการใช้ส่วนผสม 2 อย่างหลักๆ คือ

  1. Cute Characters ซึ่งเป็นรูปแบบที่ผู้เล่นชาวญี่ปุ่นชื่นชอบ
  2. Battle through Network - เนื่องจากก่อนเกมนี้ยังไม่มีเกมแนววางแผนของ NDS ที่มีการสร้างกองทัพของตน แล้วจึงนำมา Link เพื่อต่อสู้กันได้ เกมนี้จึงพัฒนามาเพื่อรองรับความต้องการของนักเล่นเกมตรงจุดนี้ ซึ่งทำให้เกมนี้ได้รับความนิยมอย่างมาก และเขายังย้ำอีกว่า "แนวคิดของมัน คือ เมื่อคุณมีกองทัพที่คุณรู้สึกว่าเจ๋งแล้ว คุณก็ต้องอยากลองเอาไปต่อสู้กับคนอื่นดู" ด้วยแนวทางนี้ ตัวเขาเองก็เชื่อมั่นตั้งแต่แรกแล้วว่าแนวทางนี้จะทำให้เกมประสบความสำเร็จซึ่งมันก็เป็นอย่างที่เขาคิด

  3. ที่มาของภาพ www.siliconera.com

ในการสัมภาษณ์มีการพูดถึง ทีมที่พัฒนาซึ่งเขาไม่ค่อยสบายใจนักที่ปัจจุบันทีมที่พัฒนาเกมใหม่ๆ ดูเหมือนจะใช้คนที่เริ่มอายุมากเกินไป และเขาเชื่อว่าแนวคิดของเขาที่ประธานบริษัทเป็นคนหนุ่ม (อายุ 27 ปี) และกลุ่มพัฒนาเกมก็เป็นคนหนุ่มด้วย (Young President and young Employees) จะทำให้แนวทางของเกมที่มีความสดใหม่มากๆ (Really Fresh Way) และมีความแตกต่างมากกว่า (Independant)

ในช่วงท้ายพิธีกรได้ถามว่า หลังเกมประสบความสำเร็จอย่างมากแล้ว ได้ส่งผลกระทบใดต่อบริษัทบ้าง ? ซึ่งเขาตอบว่าในเชิงว่าไม่มีสิ่งใดเปลี่ยนแปลง แต่อย่างไรก็ดี เขาคิดว่าตัวเองเป็นอัฉริยะ จึงไม่รู้สึกว่าสิ่งใดเป็นปัญหา (ตรงนี้ ผมเลยนึกถึง 2 เรื่อง เรื่องหนึ่ง คือ เคยมีคำพูดที่ว่า "ไม่มีงานใดที่ยากและไม่มีงานใดที่ง่าย" เพราะถ้าเรารู้สึกว่างานนั้นยาก แสดงว่าเรากลัวงานนั้น และจะทำให้งานนั้นไม่สำเร็จ แต่ถ้าเรารู้สึกว่างานนั้นง่าย แสดงว่าเราเริ่มประมาทแล้วล่ะ ส่วนอีกเรื่องหนึ่งคือ ส่วนหนึ่งของเรื่อง "Kanfu Panda" ที่ว่า "ข่าวไม่มีดี ไม่มีร้าย มีเพียงแต่ข่าวธรรมดา" ซึ่งหมายถึงข่าวจะดีหรือร้ายขึ้นกับใจของผู้ที่รับข่าว ถ้าใจเรานิ่งและปล่อยวาง ข่าวก็จะเป็นเพียงแค่ข่าวธรรมดา)

นอกจากนี้ยังมีการพัฒนาเกม World Destruction และ Arcrise Fantasia

3. Hanayo Hanatsu (ผู้เขียน Virgin House, CA to Oyobi !,Tatakae ! WAC chan)(โดยส่วนตัวแล้วคิดว่าบทสัมภาษณ์ของเธอน่าสนใจมากที่สุดใน 4 คนแล้วล่ะครับ)


ที่มาของภาพ www.pantip.com

  • ผู้เขียนเล่าว่าเธอรู้สึกเกลียดและอิจฉา คนที่ใช้ความสวยของตนเป็นเครื่องมือในการทำงาน และหลังจากที่เธอศึกษาแนวทางต่างๆ แล้ว เธอพบว่ามันจะน่าสนใจกว่าถ้าเธอไม่เขียนเรื่องของเธอเอง นั่นทำให้เธอลองศึกษาเรื่องเกี่ยวกับชีวิตของ CA หรือ Cabin Attendant (แปลตรงตัว คือ ผู้ดูแลผู้โดยสารบนเครื่องบิน คิดว่าในเมืองไทยเรียกว่า แอร์โฮสเตจ นั่นเอง) โดยวิธีหาข้อมูลก็คือ เธอจะติดต่อพูดคุยกับกับผู้หญิงที่ทำงาน CA หลายๆ คน โดยไม่ใช่การติดต่อผ่านบริษัท แต่จะเป็นการชวนกันไปดื่ม เพื่อให้รูปแบบการพูดคุยเป็นไปในแบบไม่เป็นทางการ แล้วพอพวกเธอเริ่มเมา ก็จะเริ่มคุยกันในเรื่องแปลกๆ ที่เกิดขึ้นระหว่างการทำงานของพวกเธอ ซึ่งมันน่าสนใจมากๆ
  • เรื่อง Tatakae ! WAC chan ซึ่งเกี่ยวกับผู้หญิงที่ทำงานอยู่ใน SDF (กองกำลังป้องกันตนเองญี่ปุ่น) ซึ่งเธอเกิดความสนใจ เพราะมีผู้หญิงที่ทำงานในหน่วยงานนี้น้อยมาก
  • ส่วนสาเหตุที่เธอเขียน Manga นั้นเป็นเพราะว่า "เธอต้องการเป็นที่สนใจของผู้คน (Popular) และเป็นที่รักของคนจำนวนมาก (I want to be loved by many people.)" และทุกวันนี้ เธอก็รู้สึกว่าการกำหนดเส้นแบ่งระหว่างงานกับงานอดิเรก (Line between work and hobby) ของเธอนั้น ดูเหมือนจะทำได้ยากแล้ว
  • เธอเล่าให้ฟังด้วยว่าบางครั้งเมื่อเขียนเรื่องต่างๆ เช่นเรื่อง Tatakae ! WAC chan ซึ่งเกี่ยวกับกองกำลังป้องกันตนเองของญี่ปุ่น เธอก็จะเปลี่ยนชุดเป็นชุดลายพรางของทหารด้วย หรือถ้าเป็นเรื่อง CA to Oyobi ! ซึ่งเกี่ยวกับแอร์โฮสเตจ เธอก็มีชุดแอร์โฮสเตจไว้เปลี่ยนมาใส่ตอนเขียนเหมือนกัน สุดท้าย เธอบอกว่า Manga ของเธอเป็นงานเขียนในมุมมองของผู้หญิง (Woman Perspective)

4. Tetsuro Kodama (ทำอนิเมชั่นหลายเรื่อง เช่น My Home, Home Athlon)

ตัวเขาชอบทำผลงานที่ออกไปในแนวเสียดสีสังคม (Social Satire) อย่างเช่นเรื่อง My Home ก็มาจากการที่เขาเห็นคนที่ไร้ที่อยู่อาศัยสร้างที่พักของตนตามที่ต่างๆ เพื่อใช้เป็นบ้าน แล้วเมื่อเวลาผ่านไประยะหนึ่ง ทางการก็จะเข้ามาทำลายที่อยู่อาศัยที่ผิดกฎหมายเหล่านี้ ซึ่งตัวเจ้าของบ้านก็ไม่ได้มีปัญหาหรือยินดียินร้ายแต่อย่างใด เขาจึงต้องการสื่อในเรื่อง My Home ซึ่งแทนที่จะสร้างแค่ที่พักชั่วคราวลวกๆ เหมือนทั่วไป กลุ่มตัวเอกกลับสร้างบ้านที่เหมือนบ้านจริงๆ ในป้ายโฆษณา "Dream Home" ที่มีในเรื่อง แล้วภายหลังจากสร้างเสร็จอย่างสวยงามก็ถูกทำลายลง เพื่อให้คนทั่วไปเข้าถึงความรู้สึกของคนไร้ที่อยู่อาศัยเหล่านี้

ผู้ให้สัมภาษณ์ได้บอกว่าเขาตั้งใจจะสร้างงานที่ "เมื่อเวลาผ่านไป 10 ปี แล้วเขาหันกลับมามองผลงานที่เขาทิ้งเป็นรอยเท้าเอาไว้ แล้วเขาจะรู้สึกมีความสุขกับมัน" เขาพยายามจะสร้างผลงานภายใต้มุมมองที่เขาเชื่อมั่นไปอย่างต่อเนื่อง

28 กรกฎาคม 2552

The Richest Man in Babylon (เศรษฐีชี้ทางรวย) [2]

จงควบคุมการใช้จ่ายของท่าน

[หน้าที่ 39] ความจริงนั้นก็คือ สิ่งที่พวกเราแต่ละคนเรียกว่า "ค่าใช้จ่ายที่จำเป็น" จะเพิ่มขึ้นจนเท่ากับรายได้ของเราเสมอ ถ้าเราไม่พยายามฝืนให้มันเป็นตรงกันข้าม

"จงอย่างสับสนระหว่างค่าใช้จ่ายที่จำเป็น กับความปรารถนาของท่าน พวกท่านแต่ละคนรวมั้งครอบครัวที่ดีของท่าน มีความต้องการเกินกว่ารายได้ของท่านจะตอบสนองความพึงพอใจได้ ด้วยเหตุนี้ถึงแม้ท่านจะเอาเงินที่หามาได้ ตอบสนองความต้องการของท่านเท่าที่จะทำได้แล้ว มันก็ยังมีความต้องการอีกมากที่ยังไม่สมปรารถนา"

...

"จงศึกษาวิธีการดำเนินชีวิตที่เคยชินของท่านให้ละเอียด ท่านจะพบค่าใช้จ่ายที่ลดให้น้อยลงหรือตัดทิ้งไปได้เสมอ จงยึดมั่นคติพจน์ที่ว่า ทุกหนึ่งเหรียญที่ใช้จ่ายออกไปต้องคุ้มค่าเต็มร้อย"

(ผมเคยอ่านหนังสืออีกเล่มหนึ่ง ซึ่งแนะนำว่า "วิธีการใช้จ่ายเงินให้ฉลาด คือ ให้เราใช้เวลาคิดถึงความเหมาะสมในการใช้จ่ายเงินก้อนนั้น ให้เท่ากับเวลาที่เราใช้ในการหามันมา"

มันหมายความว่า ถ้าสมมุติท่านทำงานได้เงินเดือนเดือนละ 18,000 บาท โดยทำงานวันละ 8 ชั่วโมง เดือนละ 20 วันโดยประมาณ - สรุป คือ ในทุกเดือน ท่านต้องทำงาน 8 * 20 = 160 ชั่วโมงเพื่อเงิน 18,000 บาท เมื่อเราลองเทียบบัญญัติไตรยาง ท่านทำงานได้เงิน ชั่วโมงละ 112.50 บาท หรือ ท่านใช้เวลา 53 นาที 20 วินาที หาเงิน 100 บาทนั่นเอง

ดังนั้น คำถามจึงมีอยู่ว่า ท่านใช้เวลาคิดเท่าไรในการใช้เงิน 100 บาท ???

บางคนจะตอบกลับมาด้วยความรู้สึกที่เหมือนมันยุ่งยากมากเกินไปที่จะใช้เวลาถึง 53 นาที กับการแค่คิดหาเหตุผลในการใช้เงินเพียง 100 บาท แต่ท่านต้องไม่ลืมว่าท่านใช้เวลาถึง 53 นาทีในการหาเงิน 100 บาทนี้ ผมจึงอยากฝากให้ท่านที่ได้เข้ามาอ่านได้คิดถึงเหตุผลในการใช้เงินทุกบาททุกสตางค์นั้น ก็เพื่อให้เห็นภาพว่าตัวเรานั้นต้องใช้เวลามากเพียงใด ในการหาเงินจำนวนนั้นนั่นเอง

และสำหรับท่านที่มีรายได้น้อยกว่า 18,000 บาทต่อเดือนก็จะหมายความว่าท่านต้องใช้เวลาในการคิดเพื่อหาเงิน 100 บาทมากกว่า 53 นาทีซะอีกนะครับ

... แล้วทุกวันนี้ท่านใช้เวลาคิดก่อนจะใช้เงินมากเพียงพอแล้วหรือยังล่ะครับ ^_^)

27 กรกฎาคม 2552

The Richest Man in Babylon (เศรษฐีชี้ทางรวย) [1]

ที่มาของภาพ : www.thaispecial.com/

ถ้ามีคนที่ไม่ค่อยได้ศึกษาเรื่องเกี่ยวกับเงิน หรือการลงทุน มาก่อน ต้องการให้ผมแนะนำหนังสือที่เกี่ยวกับ การแก้ปัญหาเรื่องเงิน ผมคงจะแนะนำหนังสือเล่มนี้ The Richest Man in Babylon (เศรษฐีชี้ทางรวย) ให้เขาได้ลองอ่านเป็นเล่มแรก แต่มิใช่ว่าเพราะมันเป็นเพียงหนังสือที่อ่านได้ง่ายที่สุดเท่านั้น หากยังมีคำแนะนำที่เป็นประโยชน์ในชีวิตที่ดีสำหรับทุกๆ คนอีกด้วย

[หน้าที่ 22] เป็นเรื่องราวของการเจรจาของอัลกามิช ผู้เป็นเศรษฐีแห่งบาบิโลน และ อาร์คัด ซึ่งในอนาคตจะกลายเป็นเศรษฐีที่ร่ำรวยที่สุดในบาบิโลน

อัลกามิช : "ข้าพบหนทางสู่ความมั่งคั่งเมื่อข้าตัดสินใจว่า ส่วนหนึ่งของเงินทั้งหมดที่ข้าหามาได้ เป็นของข้าที่จะต้องเก็บรักษาไว้ เจ้าก็เช่นกัน"

อาร์คัด : "แต่ทั้งหมดที่ข้าหามาได้ เป็นของที่ข้าต้องเก็บรักษาไว้มิใช่รึ"

อัลกามิช : "มิใช่เลย เจ้าไม่ได้จ่ายเงินให้ช่างเสื้อ ช่างตัดรองเท้า และจ่ายสำหรับอาหารที่เจ้ากินเลยหรือ เจ้าใช้ชีวิตอยู่ในนครบาบิโลนได้โดยไม่ใช้จ่ายเลยเช่นนั้นรึ เงินที่เจ้าหาได้เมื่อเดือนก่อนมีเหลือให้ดูมั้ย แล้วปีก่อนล่ะ เจ้าโง่เอ๊ย เจ้าจ่ายให้กับทุกคนยกเว้นตัวเจ้าเอง เจ้าคนเซ่อ เจ้าสู้อุตส่าห์ทำงานหนักเพื่อผู้อื่น เปรียบเสมือนทาสที่ทำงานให้เจ้านายเพื่อแลกกับอาหารและเครื่องนุ่งห่ม ถ้าเจ้าเก็บเงินไว้ให้ตัวเองเพียงหนึ่งในสิบของทั้งหมดที่เจ้าหามาได้ เจ้าจะมีเงินมากแค่ไหนในสิบปี"

(ในส่วนนี้ มีความหมายถึง ถ้าคุณมีรายได้ไม่ว่าจะมาจากสิ่งใดก็ตาม เช่นคุณอาจได้เงินเดิน 12,000 บาท ก็ให้เก็บไว้ทันทีที่ได้รับเงิน 1,200 บาท ถ้าท่านทำงานพิเศษได้เงิน 300 บาท ท่านก็เก็บไว้ทันที 30 บาท ไม่สำคัญว่ามากหรือน้อย สิ่งสำคัญ คือ เราต้องเก็บ 1 ใน 10 ของรายได้ทุกอย่างเอาไว้ และตั้งเป้าหมายจะเก็บรักษาไว้สำหรับตัวเราเองในอนาคตเสมอ คุณไม่ควรใช้จ่ายจนกระทั่งเหลือเงินแล้วจึงนำเงินที่เหลือมาเก็บ เพราะโดยปรกติคนเรามักใช้เท่าที่ตนมีเสมอ ดังนั้นถ้าเรามีเงิน 12,000 บาทเราก็มักจะใช้จนหมด 12,000 บาท แต่ถ้าเรามีเงิน 10,800 บาท (หลังจากเก็บ 1,200 บาท) เราก็จะใช้ 10,800 บาท และแม้ว่าเราจะขาดเงินในช่วงปลายเดือน ก็ห้ามยุ่งกับเงินที่เก็บไว้เด็ดขาด เมื่อเราทำจนติดเป็นนิสัย เราจะสามารถเก็บเงินไว้ได้อย่างต่อเนื่องเองครับ)

อาร์คัด : "มากเท่ากับที่ข้าหาได้ในหนึ่งปี"

อัลกามิช : "เจ้าพูดจริงแค่ครึ่งเดียว ทองคำทุกชิ้นที่เจ้าเก็บไว้คือทาสที่จะทำงานให้เจ้า ทองแดงทุกเหรียญที่หามาได้คือลูกของมันที่จะช่วยหาเงินเพิ่มให้เจ้าด้วย ถ้าเจ้าอยากร่ำรวย สิ่งที่เจ้าเก็บจะต้องหาเงินเพิ่มให้เจ้าได้ ลูกๆ ของมันก็จะต้องหาเงินเพิ่มให้เจ้าด้วยเช่นกัน ทั้งหมดนี้อาจช่วยให้เจ้ามีทรัพย์สมบัติมหาศาลดังที่เจ้าปรารถนา"

(ในส่วนนี้ หมายถึง การที่ท่านเก็บเงิน เงินของท่านจะสามารถสร้างผลตอบแทนให้ท่านได้ เช่นถ้าท่านฝากธนาคาร เงินของท่านจะทำให้เกิดดอกเบี้ย และเมื่อท่านเก็บไว้ต่อไปเงินของท่านก็จะเกิดดอกเบี้ยต่อมาอีก และดอกเบี้ยของปีก่อนก็จะทำให้เกิดดอกเบี้ยของปีนี้ สิ่งที่ท่านได้รับจึงคือการเพิ่มพูนของเงินของท่านอย่างต่อเนื่องครับ ในภาษาการลงทุนเราเรียกว่า "ดอกเบี้ยทบต้น")

ข้อความสั้นอื่นๆ
  • [หน้าที่ 16] - "หากเราพยายามอย่างที่สุดในสิ่งใดก็ตาม เราจะประสบความสำเร็จในสิ่งนั้น"
  • [หน้าที่ 21] - "ความคิดของผู้เยาว์ คือแสงเจิดจ้าพุ่งแรงเหมือนดาวตกที่ทำให้ท้องฟ้าสว่างวาบ แต่หลักปรัชญาของผู้สูงวัยเปรียบเสมือนดาวฤกษ์ ซึ่งส่องสว่างไม่แปรเปลี่ยน จนกะลาสีอาศัยมันเป็นเครื่องชี้ทางได้"
  • [หน้าที่ 24] - "คำแนะนำเป็นสิ่งให้เปล่ากันได้ แต่จงเลือกเฉพาะคำแนะนำที่คุ้มค่า"

26 กรกฎาคม 2552

Great Pyramid of Giza (มหาพีระมิดแห่งกิซ่า)

ที่มาของภาพ : Wikipedia

  1. สร้างในสมัย 2500 ปีก่อนค.ศ. ในรัชสมัยของ Pharaoh Khufu
  2. ขนาด 6 สนามฟุตบอล ปัจจุบันตั้งอยู่ที่กรุง Cairo, ประเทศ Egypt สร้างเพื่อเป็นทางสู่สวรรค์ของฟาโรห์
  3. การสร้างพีระมิดต้องสร้างให้เสร็จก่อนฟาโรห์สิ้นชีวิต โดยพีระมิดจะทำให้ฟาโรห์ และประชาชนของพระองค์เป็นอมตะ เพราะในความเชื่อของอียิปต์ ถ้าพีระมิดเสร็จไม่ทัน วิญญาณของฟาโรห์จะไม่ได้ขึ้นไปสถิตบนสวรรค์ และทำให้ความืดปกคลุม ดวงอาทิตย์จะลับจากอียิปต์ไปตลอดกาล
  4. ในอีกแง่หนึ่ง พีระมิด คือ สัญลักษณ์ทางการเมืองที่สำคัญ แสดงถึงอำนาจขององค์ฟาโรห์
  5. ใช้หินปูนปริมาตร 2.76 ล้านลูกบาศก์เมตร โดยแต่ละก้อนหนัก 2.5 ตัน คาดว่าองค์ฟาโรห์ทรงวางแผนไว้ดีมากจึงสร้างมหาพีระมิดถัดจากแหล่งหินปูนขนาดใหญ่ห่างออกไปไม่กี่ร้อยเมตร โดยยังคงมีการใช้แหล่งหินปูนนี้ในการสร้างพีระมิดในภายหลังอีกหลายแห่ง
  6. การสร้างคาดว่าใช้วิธีเก็บภาษีแรงงานจากชาวอียิปต์ หรือกำหนดให้ใน 1 ปีจะต้องมาทำงานให้ฟาโรห์ 2 เดือน เป็นการเก็บภาษีในยุคที่ยังไม่มีเงินตรา อย่างไรก็ดี ขณะสร้างพีระมิดก็ยังมีการจ่ายค่าจ้าง ซึ่งถือว่าสูงมาก โดยในแต่ละวันจะได้ขนมปัง 10 ก้อน และเบียร์ 1 เหยือก
  7. เคยมีบันทึกของคนในยุคถัดจากนั้น 2,000 ปี (ก่อนค.ศ. 500 ปี) กล่าวว่า การสร้างพีระมิด ใช้แรงงานทาสนับแสน แต่จากบันทึกคาดว่าไม่ใช่ความจริง เนื่องจากข้อมูลในบันทึกนั้นไม่ตรงกับข้อมูลตามบันทึกอักษร Hieroglyph จึงคาดว่าน่าจะเป็นแค่เรื่องเล่าลือของคนยุคหลังจากสร้างพีระมิดเท่านั้นเอง
  8. การสร้างใช้เวลาประมาณ 20 ปี คาดว่าใช้แรงงานชาวอียิปต์ราว 2,000 คน โดยแบ่งเป็นคนงานสกัดหิน 1,200 คน โดยใช้สิ่วทองแดง, คนงานขนย้ายหิน 700 คน, คนงานจัดวางหินบนพีระมิด 300 คน
  9. การขนย้ายหินคาดว่าใช้ทางลาดขนาดใหญ่ โดยใช้แคร่ลากหิน ทีละ 20 คน โดยจะคอยราดน้ำที่พื้นขณะแคร่จะลากผ่านไปแต่ยังเป็นที่ถกเถียงกันว่ามีการใช้ทางลาดแบบปรกติ ซึ่งมีข้อเสียคือเมื่อพีระมิดสูงขึ้นจะต้องทำทางลาดยาวต่อไปเรื่อยๆ หรือทางลาดแบบพันรอบพีระมิดไปเรื่อยๆ แต่อาจเกิดปัญหาในการคำนวณการก่อหินซึ่งจะส่งผลให้พีระมิดเบี้ยวได้
  10. มีการแบ่งกองของคน 2,000 คนออกเป็น 2 กองๆ ละ 1,000 คนเท่ากัน และแบ่งย่อยจากกองละ 1,000 คนเป็นกลุ่มย่อยอีก กลุ่มละ 200 คน เป้าหมายคือการทำให้เกิดการทำงานแบบแข่งขันกันเอง เพราะการแข่งขันกันในการทำงานจะทำให้ประสิทธิภาพของการทำงานสูงขึ้น
  11. มีการพบเมืองของคนงาน ใกล้ๆ พีระมิด มีการคำนวณว่าต้องมีคนที่ทำงานเป็นฝ่ายสนับสนุนในการสร้างพีระมิดจำนวนกว่า 25,000 คน
  12. Pyramid มีมาตั้งแต่สมัยหลายร้อยปีก่อนหน้าการสร้างมหาพีระมิดแห่งกิซ่า โดยเกิดจากแนวคิดของมหาอัมมาตย์ นามว่า "ฮิมโฮเทป" ต้องการสร้างสุสานเพื่อเทิดทูนกษัตริย์ของเขา เขาจึงได้สร้าง Mastaba ซึ่งเป็นสุสานที่มีมาแต่โบราณแล้ว แต่สร้างเป็นหลายๆ ชั้น จึงเป็นที่มาของแนวคิดการสร้าง Pyramid

  13. ภาพ Mastaba ที่แบบปรกติซึ่งมีชั้นเดียว จาก : www.archimuse.com/

    ภาพ Mastaba ที่ถูกสร้างซ้อนกันหลายชั้น จาก : ca.geocities.com

  14. มีการค้นพบหลุมฝังศพของมารดาของฟาโรห์คูฟูใกล้ๆ มหาพีระมิด ภายในมีสภาพสมบูรณ์ ไม่มีร่องรอยการปล้นสุสาน เพียงแต่ไม่มีมัมมี่ของพระนาง จึงคาดว่าพระนางอาจสิ้นชีวิตก่อนหน้ามหาพีระมิดจะสร้างเสร็จ และมีการจัดพิธีฝังพระนางแล้ว แต่โดนโจรปล้นสุสานและขโมยมัมมี่ของพระนางไป ทำให้เหลืออัมมาตย์ไม่อาจทำสิ่งใดได้มากกว่าการนำโลงศพของพระนางมาฝังอย่างเรียบร้อยอีกครั้ง เรื่องนี้จึงมีผลให้ฟาโรห์คูฟูทำการย้ายห้องที่ใช้เก็บมัมมี่ของตนจากเดิมจะอยู่ใต้สุสาน ไปอยู่ที่ใจกลางสุสานแทน และวางแผนให้มีการปิดตายสุสานด้วยกลไก อย่างไรก็ดีนี่เป็นเพียงแค่แนวคิดหนึ่งที่อาจเป็นไปได้เท่านั้น เนื่องจากไม่มีบันทึกเรื่องนี้หลงเหลือไว้เลย
  15. ห้องฝังพระศพทั้งหมดเป็นหินแกรนิต ซึ่งต้องนำมาจากเมืองทางใต้ที่ห่างออกไปหลายร้อยกิโลเมตร โดยลำเลียงผ่านแม่น้ำขึ้นมา เป็นหินที่แข็งอย่างมาก จนไม่สามารถใช้สิ่วทองแดงสกัดออกมาได้เหมือนหินปูน ต้องใช้ค้อนที่ทำจากหินที่แข็งกว่าค่อยๆ ทุบตัดออกมาเท่านั้น ซึ่งเป็นงานที่ยากลำบากอย่างมาก และคาดว่าสำหรับงานตัดหินต้องใช้คนอีกหลายพันคน
  16. หลังจากครองราษฎ์นาน 23 ปี ฟาโรห์คูฟูก็สิ้นพระชนม์ และทำการฝังที่มหาพีระมิดแห่งกิซ่า
  17. ที่ห้องฝังพระศพมีช่องเล็กๆ 2 ช่องทะลุออกมานอกพีระมิด โดยช่องหนึ่งชี้ไปที่ดาวนายพราน และอีกช่องหนึ่งชี้ไปที่ดาวเหนือ ซึ่งทั้งสองเป็นดาวที่สำคัญมากในสมัยอียิปต์จึงคาดว่าช่องที่ทะลุออกมา เพื่อให้วิญญาณของพระองค์ล่องลอยไปสถิตบนสวรรค์ และคอยดูแลประชาชนของพระองค์ตลอดไป

ที่มาของภาพ : www.holtzendorff.com/

ที่มาของข้อมูล : Thai PBS รายการท่องโลกกว้าง เวลา 18:00-19:00 น. ของวันพุธที่ 22 กรกฎาคม 2552

25 กรกฎาคม 2552

การตั้งเป้าหมายทางการเงิน

ที่มาของภาพ : www.usagold.com/

หลายคนคงเคยตั้งเป้าหมาย แต่อาจไม่ชื่นชอบการมีเป้าหมายนัก อาจเป็นเพราะการมีเป้าหมาย จะหมายถึงความสำเร็จ หรือไม่สำเร็จ แต่โดยความคิดของผมแล้ว การมีเป้าหมายไม่เหมือนกับการมีสิ่งที่หวัง เพราะการหวังไม่ได้มีความหมายรวมถึงความพยายามของเราในการไปให้ถึงสิ่งที่หวังนั้น แต่การมีเป้าหมายจะจำเป็นต้องใช้ความพยายามอย่างต่อเนื่องมากกว่า

เป้าหมายสำหรับการเรื่องการเงิน จึงเป็นสิ่งที่ควรมีถ้าท่านต้องการจะวางแผนในการเป็นคนที่รวย เพราะการที่เรากำหนดว่าเรามีเงินเท่าไร หรือมีบ้าน มีหุ้น มีกิจการธุรกิจอันใด ในอีก 6 เดือนหรือ 1 ปีข้างหน้า (เป้าหมายระยะสั้น) ในอีก 3 ปีข้างหน้า (เป้าหมายระยะกลาง) และอีก 10 ปีข้างหน้า (เป้าหมายระยะยาว) เสมือน การเดินทางถ้าท่านคิดว่าจะไปเชียงใหม่โดยขับรถ 12 ชั่วโมง (เป้าหมายระยะยาว) ท่านจะแวะนครสวรรค์ก่อนไหม (เป้าหมายระยะสั้น) และท่านแวะที่ใดต่อไปในระหว่างทาง (เป้าหมายระยะกลาง) ซึ่งแน่นอนว่าในการเดินทางท่านอาจพบเหตุที่คาดไม่ถึง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่ดี เช่น ถนนเส้นใหม่ร่นระยะทาง งานฉลอง เพื่อน หรือจะเป็นเรื่องที่ไม่ดี เช่น ฝนตก ซ่อมถนน รถติด ท่านก็สามารถปรับเปลี่ยนเป้าหมายได้ตามความเหมาะสม แต่มิใช่การเดินทางโดยไม่มีเป้าหมาย เพราะสุดท้ายท่านอาจจะขับรถวนไปวนมาไม่ได้ก้าวไปข้างหน้าอย่างที่ท่านหวังครับ

สำหรับตัวผมเอง ผมตั้งเป้าหมายที่จะเขียน Blog ในแนวคิดที่ว่า "เป็นประโยชน์สำหรับใครบางคน แต่ไม่ใช่กับทุกคน" โดยอย่างน้อยที่สุดสิ้นปีนี้จะให้ถึง 160 บทความและเมื่อครบ 1 ปี (เมื่อถึงวันที่ 21/07/2553) อย่างน้อยก็จะมีบทความ 365 บทความ หรือเฉลี่ยวันละ 1 บทความ โดยมิได้หมายความว่าจะเขียนทุกวัน เพราะเป็นไปได้ที่บางวันอาจติดธุระจึงมิอาจเขียนได้ แต่ก็ตั้งใจว่าจะให้ต่อเนื่องมากที่สุด นี่จึงเป็นเป้าหมายหนึ่งในสิบอย่างที่ผมจะทำในปีนี้รวมไปถึงปีหน้าครับ

หวังว่าทุกท่านจะเป็นกำลังให้กับผมในการทำเป้าหมายนี้ให้สำเร็จด้วยครับ

เกลียดสิ่งใด จะได้สิ่งนั้น มันจริงหรือ ?

ที่มาของภาพ : www.audiobooksonline.com

บทย่อภาษาไทย ใครอ่านแล้วอยากอ่านตัวเต็มก็ไปซื้อหนังสือได้ครับ Rich Dad, Pool Dad (พ่อรวย สอนลูกรวย) แต่ไม่รู้แบบนี้ผิดลิขสิทธิ์ไหมเหมือนกันนะครับ

ท่านคงเคยได้ยินเพลงทำนองที่ว่า ถ้าเกลียดสิ่งใด ก็จะได้สิ่งนั้น หรือ ยิ่งเกลียดสิ่งใด ก็จะยิ่งเจอสิ่งนั้นมาก่อน แต่โดยส่วนใหญ่แล้วคนที่เกลียดสิ่งใดจะพยายามหลีกเลี่ยงการเข้าใกล้สิ่งนั้น หรือทำสิ่งที่เกี่ยวข้องกับสิ่งนั้น ซึ่งก็มิใช่เรื่องผิดปรกติวิสัยของคนปรกติ เมื่อผมคิดถึงสำนวนที่ว่ามานี้ ก็มักจะนึกถึงหนังสือชุด Rich Dad,Poor Dad เพราะเคยมีบทหนึ่งกล่าวถึงเรื่องที่ว่า บางครั้งเราหลีกเลี่ยงการเป็นคนรวย เพราะเราเกลียดคนรวย ซึ่งสาเหตุอาจจะเป็นเพราะ เราเคยมีประสบการณ์ไม่ดีเกี่ยวกับคนรวย เช่น คนรวยเห็นแก่ตัว คนรวยโลภ คนรวยตระหนี่ขี้เหนียว หรือคนรวยจากการคดโกง คนรวยจากการคอรัปชั่น แต่มิใช่ว่าคนรวยทุกคนจำเป็นต้องเป็นเช่นนั้น (หรือไม่ใช่ว่าคนรวย = คนเลว) และ ตัวท่านเองสามารถเป็นคนรวยได้ โดยไม่จำเป็นต้องมีข้อเสียที่ท่านเกลียดหรอกนะครับ เสมือน ท่านสามารถเดินทางไปเที่ยวหัวหินได้ โดยไม่จำเป็นต้องขับรถไปเองอย่างเดียว วิธีการเดินทางนั้นมีวิธีอื่นๆ อีกมากมายครับ เพียงแต่ก่อนอื่นท่านต้องอยากเดินทางไปเที่ยวหัวหินซะก่อนนะครับ

การที่ท่านจะเป็นคนที่รวยได้นั้น สิ่งแรกๆ ที่ควรต้องทำก่อนเลย คือ
  1. ท่านต้องสำรวจตัวเองก่อนว่าท่านเกลียดคนรวยหรือไม่ ?
  2. ท่านมองว่าการเป็นคนรวย คือต้องเป็นคนไม่ดีในความรู้สึกของตัวท่านเองหรือไม่ ?
  3. ท่านรู้สึกผิดที่ตัวเองต้องการเป็นคนรวยหรือไม่ ?

Colosseum (สนามกีฬาโคลอสเซียม)

ภาพจาก : Wikipedia

  1. สร้างเมื่อประมาณ 2000 ปีก่อน (เปิดใช้ครั้งแรกเมื่อปีค.ศ. 80) สร้างโดยจักรพรรดิ Vespasian
  2. เป้าหมายหลักในการสร้าง Colosseum คือ เพื่อเอาใจประชาชนของโรม เนื่องจากจักรพรรดิองค์ก่อนหน้า คือ จักรพรรดิ Nero ทรงใช้เงินในท้องพระคลัง และเก็บภาษีจากประชาชนในโรมไปเป็นจำนวนมาก เพื่อสร้างวัง และสิ่งก่อสร้างส่วนพระองค์มากมาย จนโดนโค่นล้มโดยประชาชนในโรมนั่นเอง
  3. คนโรมันในสมัยนั้นมี 2 สิ่งเป็นพื้นฐาน คือ อาหาร และการแสดง ดังนั้น จักรพรรดิ Vespasian จึงตัดสินใจสร้าง Colossem ให้เป็นโรงมหรสพที่ยิ่งใหญ่ (ขณะนั้นโรมยังไม่มีโรงมหรสพที่ใหญ่ทัดเทียมกับเมืองอื่นๆ ทั้งๆ ที่เป็นเมืองหลวงของ Roman Empire)

  4. ภาพจาก : http://digitalphotographer.com.ph/ ที่นี่มีภาพสวยๆ มากมายของ Italy ผมอยากแนะนำให้ลองเข้าไปดูสักครั้งนะครับ ^^

  5. รายละเอียดของ Colosseum เป็นอาคารสูงประมาณ 50 เมตร ความจุ 50,000 คน (แต่เคยมีบันทึกว่าเคยมีคนเข้าชมสูงสุดถึง 80,000 กว่าคน) โดยตั้งใจให้เป็นสิ่งก่อสร้างที่ยิ่งใหญ่กว่า Pyramid แต่ติดปัญหาใหญ่ๆ อยู่ 2 อย่าง ดังนี้
  6. Problem I: ไม่มีพื้นที่ที่เหมาะสม ซึ่งหลังจากเปรียบเทียบในหลายพื้นที่แล้วจักรพรรดิ Vespasian จึงตัดสินใจถมทะเลสาบขนาด 5 สนามฟุตบอลให้เป็นที่ราบ ซึ่งต้องขุดคูขนาดใหญ่เพื่อทดน้ำออกไปลงแม่น้ำที่ห่างไปราว 1 กิโลเมตร (เป็นงานใหญ่มากๆ สำหรับสมัย 2,000 ปีก่อน เพราะสมัยนั้นคุณไม่มีเครื่องสูบน้ำนะครับ)
  7. Problem II: ไม่มีเงินสร้าง เนื่องจากเงินในท้องพระคลังร่อยหรอ (จักรพรรดิ Nero ใช้หมด) และไม่สามารถเก็บภาษีจำนวนมากได้ (ประชาชนจะไม่พอใจอย่างมาก) บังเอิญสมัยนั้นมีเมืองแห่งหนึ่ง ซึ่งมีวัดที่ร่ำรวยมาก และขณะนั้นเมืองถูกปิดล้อมโดยอาณาจักรโรมันอยู่พอดี จึงมีคำสั่งให้โจมตีเมืองแห่งนั้น เมืองแห่งนั้น คือ เยรูซาเลม (Jerusalem) เมื่อประมาณปีค.ศ.ที่ 70 ซึ่งก็ได้รับชัยชนะอย่างรวดเร็ว และลำเลียงทรัพย์สมบัติจำนวนมหาศาลจากวัดในเยรูซาเลม พร้อมทาสชาวยิวจำนวน 30,000 คน ซึ่งคาดว่าทาสทั้งหมดถูกนำไปขายที่โรม โดยมิได้นำไปช่วยสร้าง Colosseum เนื่องจาก Colosseum จำเป็นต้องใช้ช่างฝีมือเฉพาะทางในการก่อสร้าง และจำเป็นต้องรีบก่อสร้างให้เสร็จโดยเร็ว เนื่องจากจักรพรรดิ Vespasian เกรงว่าตนจะถูกปลดจากตำแหน่งเนื่องจากประชาชนไม่พอใจ
  8. ขณะสร้างมีการคำนวณรายละเอียดของส่วนประกอบหลายๆ อย่างเช่น ทางระบายน้ำต้องทำมุม 2.5% ตลอดแนว เพราะถ้าน้อยกว่านี้น้ำจะไม่ไหล แต่ถ้ามากกว่านี้น้ำจะไหลย้อนกลับไปเจิงนองพื้นของ Colosseum แทน
  9. คนโรมันเป็นคนที่มีระเบียบวินัยสูงมาก และมีสหภาพแรงงานแล้วในขณะนั้น
  10. การสร้าง Colosseum จะสร้างซุ้มโค้งจำนวน 80 ซุ้มซ้อนกัน 3 ชั้น ซึ่งเป็นแนวคิดที่แบ่งงานก่อสร้างขนาดใหญ่ให้เป็นงานย่อยๆ โดยให้ช่างฝีมือทำงานเฉพาะความถนัดของตนสร้างซุ้มประตูซ้ำๆ กันไปเรื่อยๆ จึงสามารถใช้ความชำนาญสร้างได้อย่างรวดเร็ว

  11. ภาพจาก : http://www.learnlangs.com/latin/lessons/1.htm

  12. คาดว่าเป็นครั้งแรกที่มีการคิดค้นคอนกรีต โดยผสมทรายภูเขาไฟกับปูนขาว เนื่องจากต้องการวัสดุในการก่อสร้างที่เบากว่า แต่แข็งกว่าหิน และอิฐ โดยมีแนวคิดมาจากกระเบื้องมุงหลังคาที่ทำจากดินเผาไฟ ดังนั้นอิฐสมัยโรมันจึงไม่ได้เป็นก้อนสี่เหลี่ยมอย่างที่เห็นในปัจจุบันแต่จะแบนเป็นแผ่นค่อนข้างบางแทน
  13. ซุ้มโค้ง 3 ชั้นนั้น ชั้นล่างสุดจะเป็นหินปูน โดยใช้ถึง 200,000 ตันนำมาจากเมืองทริโบรี่ แต่ชั้น 2-3 จะเป็นคอนกรีตและอิฐ ถัดมาด้านในสร้างเป็นวงกลมขนาดเล็กลงจำนวน 6 ชั้น เพื่อเป็นส่วนของที่นั่งดูด้านใน โดยมีการใช้หินภูเขาไฟเทลงไประหว่างวงเป็นฐานในการก่อสร้างที่นั่ง
  14. ที่นั่งจะถูกแบ่งเป็นเขตสำหรับผู้มีฐานันดรศักดิ์ต่างกัน ดังนี้ 1. ชั้นล่างสุดจะเป็นที่นั่งของจักรพรรดิโดยมีทางเดินตรงมาจากวังโดยเฉพาะ และรอบๆ ถัดออกไปจะเป็นวุฒิสมาชิก (Senators เป็นนักการเมืองสมัยโรมัน) 2. ชั้นนี้จะเป็นที่นั่งของเศรษฐีโดยมักจะเป็นญาติของวุฒิสมาชิกนั่นเอง 3. ที่นั่งของคนทั่วไป 4. ที่นั่งของทาส โดยต้องเดินขึ้นบันไดประมาณ 130 ขั้นเพื่อขึ้นไปยังชั้นที่สูงที่สุด และแทบมองไม่เห็นการแข่งขันเท่าใดนัก

  15. ภาพจาก : Wikipedia

  16. การวางแผนการเดินเข้าออก Colosseum ถือว่าเป็นการจัดการที่ดีมากแม้จะเทียบกับสนามกีฬาขนาดใหญ่ในปัจจุบัน โดยคน 50,000 คนสามารถเดินออกจากสนามได้หมดในเวลาประมาณ 30 นาทีเท่านั้นเอง
  17. การเข้าชมสมัยนั้นต้องใช้ตั๋วซึ่งทำจากดินเผาเป็นแผ่นบางๆ ในการเข้าชม ซึ่งคาดว่าหายากมาก
  18. เปิดประลองปฐมฤกษ์เมื่อปีค.ศ. 80 ซึ่งคาดว่ายังสร้างไม่เสร็จ ภายหลังจึงมีพิธีเปิดใช้หลายๆ ครั้งโดยค่อยๆ เปิดทีใช้ละส่วน สำหรับการประลองนัดเปิดสนามนั้นยิ่งใหญ่มาก โดยมีการจัดการประลอง 100 วันติดต่อกัน
  19. ภายหลังถึงมีการสร้างคูหาใต้ดินของ Colosseum ซึ่งเสมือนเป็นหลังเวทีในการแสดง มีคนเคยบอกว่าถ้าขาดสิ่งนี้ไปคุณค่าของ Colosseum ก็เหมือนจะเหลือเพียงครึ่งเดียว เพราะคูหาใต้ดินจะมีลิฟท์เพื่อส่งให้นักสู้ สัตว์ป่าต่างๆ ขึ้นมา จากจุดต่างๆ ของ Colosseum ซึ่งผู้ชมจะไม่สามารถรู้ได้เลยว่าจะมีใครหรืออะไร ขึ้นมาที่ไหน เมื่อไร จึงสร้างความตื่นเต้นเร้าใจในการต่อสู้อย่างมาก

  20. ภาพจาก : Wikipedia

  21. สัตว์ที่นำมาใช้ในการต่อสู้ จะมีทั้งเสือดำ สิงโต ช้าง ฮิปโปโปเตมัส นกกระจอกเทศ และอื่นๆ อีกมากมาย ซึ่งเป็นเสมือนการแสดงอำนาจของโรมันที่สามารถจัดหาสิ่งที่หายากจากทุกๆ ที่มาเพื่อสร้างความบันเทิงให้กับผู้เข้าชม โดย Gladiator จะเป็นเสมือนดาราที่ชื่นชอบของประชาชน แม้ว่าส่วนใหญ่จะเป็นทาสที่ถูกบังคับให้ต่อสู้จนตายก็ตาม
  22. Colosseum ถือเป็นตัวแทนของความทะเยอทะยาน และความฉลาดของชาวโรมัน

ที่มาของข้อมูล : Thai PBS รายการท่องโลกกว้าง เวลา 18:00-19:00 น. ของวันอังคารที่ 21 กรกฎาคม 2552

24 กรกฎาคม 2552

Heroes : วิกฤติหรือโอกาส ขึ้นอยู่กับคุณ [23/07/2552]

ภาพจาก : http://zgoodword.com/tag/heroes/

ข้อมูลจาก Heroes ซึ่งเป็น TV series ตอนที่ฉายช่อง 7 เวลา 15:00-16:00 วันที่ 23/07/2552

จริงๆ แล้ว Heroes เป็นเรื่องเกี่ยวกับยอดมนุษย์ที่ทำอะไรได้หลายๆ อย่าง แต่ที่ผมคิดว่าน่าสนใจ และมีประโยชน์กลับไม่เกี่ยวกับความเป็นยอดมนุษย์เลย แต่กลับเป็นเหตุการณ์หนึ่งในเรื่อง ดังนี้ครับ

มีผุ้สมัครสมาชิกวุฒิสภาสหรัฐ (จากนี้ผมจะเรียกว่า "ผู้สมัครส.ว.") ซึ่งต้องการเงินสนับสนุนการหาเสียงมาก เขาได้รับข้อเสนอให้ไปพบเศรษฐีท่านหนึ่ง โดยเศรษฐีสัญญาว่าจะมอบเงินช่วยเหลือจำนวน 2 ล้านเหรียญ เขาจึงเดินทางไปพบ โดยหวังจะไปพบแต่ไม่ต้องการเป็นหุ่นเชิดของเศรษฐีในสภา... เรื่องก็เหมือนผ่านไปในทางที่ดี เพียงแต่คืนนั้นเขาได้หลับนอนกับผู้หญิงคนหนึ่ง ทั้งๆ ที่แต่งงานแล้ว และถูกถ่ายแบล็คเมล์ไว้ ซึ่งภายหลังเขาได้ทราบเรื่องการแอบถ่าย (เมื่อเรื่องมาถึงตรงจุดนี้ ผมก็ยังสงสัยอยู่ว่าเขาจะตัดสินใจอย่างไร ในเมื่อเงินก็ยังไม่ได้ถึงมือ เป็นเพียงสัญญา แถมก็โดนกำจุดอ่อนไว้อีก) แต่เขากลับไปพูดคุยกับเลขาของเศรษฐีอย่างปรกติ แต่พูดในเชิงว่าเขารู้เรื่องเทปแอบถ่ายแล้ว เลขามิได้แปลกใจอันใด และบอกแต่เพียงว่า เศรษฐีต้องการมันไว้เป็นเพียงหลักประกันสำหรับการตอบแทนความช่วยเหลือในอนาคต ซึ่งผู้สมัครส.ว.ก็มิได้แสดงความรู้สึกถึงการต่อต้านหรือขัดแย้ง เพียงแต่เอ่ยว่าเขาต้องการเงิน 4 ล้านเหรียญ ซึ่งเลขาก็บอกว่าตกลงกันไว้ที่ 2 ล้านเหรียญ เมื่อคืน ผู้สมัครส.ว.จึงกล่าวว่า "ถ้าเศรษฐีเห็นว่าผมมีคุณค่าถึงกับต้องวางแผนแบล็คเมล์ขนาดนี้ แต่มันจะไม่มีค่าอะไรเลยถ้าผมไม่ได้รับการเลือกตั้ง ดังนั้นผมจึงคิดว่ามันคงจะคุ้มกับเงิน 4 ล้านเหรียญ เพราะเงินสนับสนุน 2 ล้านเหรียญ คุณจะได้เพียงแค่ผู้สมัครชิงตำแหน่งที่อยู่ในกำมือ แต่ถ้าเงินสนับสนุน 4 ล้านเหรียญ คุณจะได้สมาชิกวุฒิสภาสหรัฐ"...

โดยส่วนตัวที่ผมประทับใจเพราะว่า ถ้ามองจากรูปการณ์ในช่วงเช้าวันนั้น ผู้สมัครส.ว.ท่านนี้อยู่ในสภาพเสียเปรียบอย่างมาก ตามที่ได้อธิบายไป ถ้าทำบางอย่างไม่เหมาะสม เงินก็คงไม่ได้และทุกอย่างคงพินาศหมดสิ้น แต่เขากลับตัดสินใจยอมรับสถานการณ์และพยายามใช้เป็นโอกาสในการได้รับเงินสนับสนุนที่มากขึ้น ถึงแม้ว่าจะอาจไม่ใช่คำตอบที่เหมาะสมที่สุดแต่ผมก็คิดว่ามันน่าสนใจที่เป็นแบบนี้ครับ

หมายเหตุ : ผมอาจจำข้อมูลได้ไม่ครบ ถูกต้องหมด เนื่องจากทำอย่างอื่นไปด้วย แต่คิดว่าภาพรวมคงเป็นเช่นที่กล่าวมา หากมีข้อผิดพลาดประการใดก็ขออภัย ณ ที่นี้ด้วยครับ


ภาพจาก : http://www.sliceofscifi.com/
ภาพจาก : http://elizar.palad.info/

23 กรกฎาคม 2552

Imagine-nation : Love Simulation Game [06/05/2552]

อีกชื่อหนึ่ง คือ Love Relationship Game เป็นแนวเกมแนวหนึ่ง อยู่ในกลุ่ม Life Simulation โดยมีทั้งแบบสำหรับผู้ชายเล่น (เกมจีบสาว) และแบบสำหรับผู้หญิงเล่น (Otome Game - เกมจีบหนุ่ม)

ตัวอย่าง Otome Game เช่น

1. Vitamin Z (PS2) จากค่าย Hune X
Photobucket
ภาพจาก : http://otome-game.blogspot.com/

2. Little Anchor
ภาพจาก : http://www.little-anchor.jp/

3. Saikin Koi Shitern (ขออภัยที่ชื่ออาจจะผิด เพราะผมก็หาข้อมูลไม่เจอเหมือนกันครับ -_-a)

ปัจจัยที่ช่วยให้เกม Love Simulation Game ประสบความสำเร็จ
1. Character Voice - เสียงของตัวละคร มีการระบุว่าเป็นปัจจัยสำคัญที่สุด ของเกมแนวนี้ สำหรับตลาดญี่ปุ่น
2. Character Illution / Design - ภาพตัวละคร
3. Character Fashion - การแต่งกายของตัวละคร (ผมสังเกตุว่าผู้ให้สัมภาษณ์ไม่ได้รวมไปกับ Character Design แต่แยกออกมาเป็นอีกปัจจัยหนึ่ง อาจเพื่อเน้นความสำคัญ ของเรื่องนี้ สำหรับผู้ที่ต้องการจะสร้างเกมแนวนี้)
4. MOE Factor - ปัจจัยโมเอะ (พิธีกรระบุว่าสิ่งนี้ไม่มีคำอธิบายครับ แต่คงเป็นที่เข้าใจโดยทั่วกัน ^^")

* โดยส่วนใหญ่แล้ว 8 ใน 10 ของ Character สำหรับเกม Love Simulation Game สำหรับผู้ชาย ต้อง Cute & Sweet (น่ารัก และอ่อนหวาน)
* โดยส่วนใหญ่แล้ว 9 ใน 10 ของ Character สำหรับเกม Love Simulation Game สำหรับผู้หญิง ต้อง Cool & Gorgeous (เท่ห์ และหล่อ)

โดยทั่วไปแล้วเพื่อความหลากหลาย จะมีการกำหนดคนเขียนบทสำหรับ Charactor แต่ละตัวโดยเฉพาะ หรือคนเขียนบท 1 คนต่อ 1 Charactor เท่านั้น เพื่อให้เนื้อเรื่องเกิดความลึกในการติดตาม เช่น มีการพาเข้าดูการประชุมของการเขียนบท Otome Game เกมหนึ่ง จะมีการจัดตั้งกลุ่มนักเขียนบทหญิง เพื่อประชุมกันเรื่องบทนี้ด้วย โดยเท่าที่เห็นคิดว่าน่าจะมีราว 10 กว่าคนในห้องนั้น (A Scriptwriter for Individual Character)

Tokyo Eye : Shinto Shrines [22/07/2552]

1. Kanda Myojin Shrine

ภาพจาก : Wikipedia

  • เป็น Shrine ใหญ่ ใกล้ Akihabara
  • ที่ Shrine Office จะมี Charm แบบแปลกๆ จำหน่ายอยู่ เช่น มีรูปอินุยาฉะ รูปสิบโทเคโรโระ หรือเป็นรูป IC Computer
  • ที่แขวน Tablet เพื่อขอพรต่อเทพเจ้า จะมี Tablet ที่เป็นรูปคล้าย Doujins อยู่จำนวนมาก สมเป็น Shrine ที่ใกล้ Akihabara จริงๆ นะครับ

2. Yushima Tenmangu
  • เดินจาก Kanda Myojin Shrine ราว 15 นาที
  • เป็น Shrine ที่สร้างจากไม้ล้วนๆ โดยไม่ใช้ตะปูแม้แต่ตัวเดียว
  • เป็น Shrine ที่นิยมมาขอพรเกี่ยวกับ "เรื่องการศึกษา" (God of Learning) เช่น การขอให้สอบเข้าได้ ขอให้สอบผ่าน

3. Tokyo Daijingu

  • เป็นที่นิยมมากของผู้หญิง ในวันหยุดจะเต็มไปด้วยผู้หญิงที่มาขอพร
  • เป็น Shrine ที่นิยมมาขอพรเกี่ยวกับ "เรื่องความรัก" เช่น ขอให้ฝ่ายตรงข้ามตกหลุมรักตน
  • มี Fortune Telling ที่แม่นมาก โดยเฉพาะเรื่องความรัก และแน่นอน Tablet ส่วนใหญ่ก็เป็นเรื่องของความรัก ซึ่งมีแขวนอยู่แน่นขนัด (Most Tablet is "Pray for Falling in Love".)

4. Chikudo Jinja - เป็น Shrine ที่อยู่ท่ามกลางหมู่ตึกสูง
5. Toyoiwa Inari Jinja - เป็น Shrine ที่อยู่แถว Ginza ซึ่งเหมือนซ่อนอยู่ด้านใน เดินเข้าไปค่อนข้างวกวน
6. Ana Inari Jinja - เป็น Shrine ที่บูชาสุนัขจิ้งจอก ซึ่งมี Torii สีแดงเรียงกันเป็นแนวยาว เสมือนเป็นอุโมง (Mass of Torii)

อื่นๆ
1. Torii - ใช้กำหนดเขตแดนของพระเจ้า (Territory of God)
2. Shaden - Shrine Building ซึ่งธรรมดาจะห้ามเข้า การเข้าจะต้องขออนุญาติก่อน เป็นสถานที่ประกอบพิธี เช่น การเขียนคำขอลงในซองพิเศษพร้อมเงินทำบุญ (ในรายการผมเห็นว่าใส่ไป 5,000 เยน) เพื่อให้ Shinto Priest ทำการสวดตามคำขอของเรา

22 กรกฎาคม 2552

Imagine-nation : Car Racing Manga [22/07/2552]

ในอดีตที่ผ่านมามี Manga ในแนวนี้หลายเรื่อง เช่น "The Circuit Wolf", "Akai Pegasus", "Initial D", "Capeta", "F"

จุดสำคัญของการเขียน Car Racing Manga คือ

1. การ์ตูนแข่งรถเป็นที่นิยมเพราะ ผู้ชายชอบการแข่งขัน และรายละเอียด (Boy love Details) รถในเรื่องจึงมักใช้ข้อมูลจากรถยนต์ที่มีอยู่จริง และอธิบายถึงรายละเอียดต่างๆ ของรถ ไม่ว่าจะเป็นขนาด รูปร่าง กำลัง ความเร็ว อัตราเร่ง ส่วนประกอบของเครื่องยนต์ และลักษณะพิเศษต่างๆ ที่เฉพาะเจาะจงของรถยนต์นั้นๆ บางทีรวมไปถึงประวัติความเป็นมาของรถยนต์ รวมไปถึงบริษัทที่ผลิตรถยนต์อีกด้วย และบางเรื่องเน้นไปที่รถของญี่ปุ่นอย่างเดียว (เรื่อง Yoroshiku Mecha Doc) บางเรื่องเน้นที่รถ F1 (เรื่อง "F" เขียนโดย Noboru Rokuda) และบางเรื่องไปเน้นที่การแข่งรถเล็กของเด็ก (เรื่อง Capeta)

2. Double Appeal (2 ตัวชูโรง) คือ Car (รถ) And Protagonist (ตัวเอก)

3. Express sense of speed คือ การแสดงให้คนอื่นรู้สึกถึงความเร็วของรถ โดยจะใช้ 3 องค์ประกอบ คือ Layouts,Additional Lines (หรือ Lines of speed ลายเส้นประกอบที่แสดงออกถึงการเคลื่อนไหว), Sound effect (หรือ Pictorial Letter คือ ตัวอักษรที่แสดงถึงเสียงประกอบ เช่น ลม และ เสียงเครื่องยนต์ เพื่อทำให้ภาพดูมีชีวิต มีการเคลื่อนไหว) เขาอ้างถึงคำพูดที่ว่า Hear Sounds. และ Hear the car.

4. Seeing is believe.

รายละเอียดเกี่ยวกับ The Circuit Wolf (Circuit no Ōkami) เขียนโดย Satoshi Ikezawa

เป็นเรื่องที่ดังมากในอดีต มี The Circuit Wolf Musuem และ The Circuit Wolf GP Car Racing ด้วยในปัจจุบัน โดย Musuem จะแสดงหนังสือ ภาพ รวมถึงรถจริงที่ใช้ในเรื่อง เช่น รถลัมโบกินี่

ตัวผู้เขียนเล่าว่าจริงๆ เขาอยากเป็น "นักแข่งรถ (Racer)" แต่ภายหลังเป็นนักเขียนการ์ตูน จึงเขียนเรื่องเกี่ยวกับเรื่องแข่งรถแทน ในช่วงหลังของการสัมภาษณ์ เขาเชื่อว่าช่วงนี้เป็นช่วงจุดจบของยุคของรถเนื่องจากเศรษฐกิจที่ตกต่ำ (The age of car come to end.)

สุดท้าย นักวิเคราะห์คาดว่าแม้ยุคของรถจะสิ้นสุดลงแต่ไม่แน่ Manga ยุคต่อไปอาจเป็นพวก Solar Car Racing หรือ Eco Car Racing แทน เนื่องจาก "การแข่งรถถือเป็นความโรแมนติกของผู้ชาย" (Romance of Guy)

เรื่องอื่นๆ

1. Princess Mononoke : Art Director คือ Nizo Yamamoto เป็นผู้มาให้สัมภาษณ์ เขาพยายามแสดงความสวยงามของธรรมชาติออกมาผ่านทางผลงาน โดยเน้นที่ความชุ่มชื้น (Humidity), บรรยากาศ (Air), และเสมือนเทพเจ้า (Divinity คิดว่าคงหมายถึงธรรมชาติเป็นเสมือนตัวแทนของเทพเจ้า) เขาพยายามจะแสดงผลงานของเขาจากความรู้สึกที่มีออกมาจากภายในใจ ให้งานมีความรู้สึกของความอ่อนโยน ความอบอุ่น และความเมตตากรุณา (Softness, Warmth, Kindness) ผ่านภาพของธรรมชาติ เพื่อช่วยรักษาบาดแผลในใจของผู้คน รวมถึงเพื่อให้ผู้คนตระหนักว่าธรรมชาติเป็นสิ่งที่จำเป็นต้องรักษาไว้เพื่อลูกหลานของตน (Theme is "Save The Future" for your child.) โดยการเตรียมตัวสร้างผลงานชิ้นนี้ผู้กำกับได้ให้เขาเดินทางไปที่ Yakushima Island (เป็นเกาะเล็กๆ เกาะหนึ่งในญี่ปุ่นที่อยู่กลางทะเลมีความเป็นธรรมชาติสูงมาก และชาวบ้านเชื่อว่าเป็นที่สิงสถิติของเทพเจ้า) เพื่อสัมผัสถึงบรรยากาศของธรรมชาติโดยตรง ซึ่งเขารู้สึกว่ามันไม่สามารถสัมผัสได้เพียงแค่จากการดูแค่ภาพหรือรูปถ่ายเท่านั้น


ภาพในเรื่อง Princess Mononoke จาก animesuperwallpaper.blogspot.com
ภาพจริงของเกาะ Yakushima ถ่ายโดย ~haftelm

2."MW" ถ้าได้ยินไม่ผิดเป็นหนังที่ทำจากผลงานของเท็ตซึกะ โอซามุ

3. เกม "Wii Sports Resort" มีเกมต่างๆ ที่เป็นที่นิยม เช่นพายเรือคายัค ตีปิงปอง สกีน้ำ กระโดดร่มจากเครื่องบิน ขี่จักรยาน ยิงธนู และอื่นๆ

4. "Training with Hinako" เป็นอนิเมชั่นเกี่ยวกับการออกกำลังกาย

Imagine-nation : Cooking Manga [27/05/2552]

ที่มาเว็ปไซต์ : http://www.nhk.or.jp/nhkworld/english/tv/imagine/index.html
รายการจะอยู่ในช่อง NHK World ถ้าใครมีเคเบิ้ล หรืออื่นๆ ที่ดูได้ เวลาตามเมืองไทยที่ผมเคยได้ดู คือ
วันพุธ 14:30 - 15:00 / 18:30 - 19:00 (เวลาที่ดูบ่อยสุด)
คืนวันพุธ เช้าวันพฤหัส = 02:30 - 03:0
แต่เท่าที่ดูข้อมูล คือ มีทุกๆ 4 ชั่วโมงดังนั้น คิดว่า 22:30 - 23:00 ก็คงมีเช่นกันครับ

รายละเอียดของรายการ : เป็นรายการที่แนะนำเกี่ยวกับ Manga บ้าง Anime บ้าง Game บ้าง เหมือนเป็นสกู๊ปเฉพาะของสัปดาห์นั้นๆ โดยส่วนใหญ่จะเป็นการเชิญผู้เชี่ยวชาญด้านนั้นๆ หรือโปรดิวเซอร์ของ Anime มาคุย โดยจะมีการให้ข้อมูลความรู้ที่มีประโยชน์ สำหรับผู้ต้องการศึกษาแนวทางการสร้างสรรค์งานของญี่ปุ่น (แบบประหยัด) บางสัปดาห์ก็อาจไม่มีข้อมูลที่เราสนใจมาก แต่บางสัปดาห์ก็รู้สึกว่าดีจนต้องดูซ้ำ (หลังๆ เลยต้องไปขุดเครื่องวีดีโอเก่าๆ มาอัดไว้ดูซ้ำ)

ภาษา : อังกฤษ เป็นหลัก จะมีซับอังกฤษเวลาคุยญี่ปุ่น ถ้าเป็นญี่ปุ่นอย่างเดียวอาจดูได้สักครึ่งหนึ่ง เพราะเวลาคุยอังกฤษไม่มีซับญี่ปุ่น

หมายเหตุ :
1. เคเบิ้ลที่มีให้บริการแถวบ้าน เดือนละ 400 บาท มี 40-50 ช่องน่ะครับ ซึ่งผมก็ไม่ทราบว่าเคเบิ้ลของพื้นที่อื่นเป็นอย่างไรบ้าง
2. อังกฤษผม งูๆ ปลาๆ ญี่ปุ่นไม่เป็นเลย ดังนั้นแปลผิดก็ขออภัย

ตัวอย่างเช่นของสัปดาห์นี้ 27/05/52

Main Theme : Cooking Manga

1. How to explain - จะอธิบายความรู้สึกว่า อาหารในเรื่องนั้น "อร่อย" ออกมาได้อย่างไร จะสื่อถึงผู้อ่านได้อย่างไร (Feel like I can taste it) เพราะสำหรับอาหารจริงๆ นั้น เราได้เห็นอาหาร ได้สัมผัส ได้กลิ่น ได้ยินเสียงจากอาหารนั้น ได้ลิ้มรส ซึ่งเราจะรู้สึกรักอาหารโดยใช้ประสาทสัมผัสทั้ง 5 แต่ผู้เขียนจำเป็นต้องใช้เพียงภาพ เพื่อสื่อถึงความวิเศษของอาหารนั้น

2. พิธีกรบอกว่า ประเทศญี่ปุ่นเป็นประเทศเดียวในโลกที่มี Manga เกี่ยวกับการทำอาหาร และมีมากมายหลายแนวทางที่ผสมผสาน

  • Houcyounin Ajihen - เป็น Cooking Manga เรื่องแรกเริ่มพิมพ์ในปี 1973
  • Cooking Papa (เขียนโดย Tochi Ueyema) - เป็นเรื่องแนวการทำอาหารของพ่อ ซึ่งมีการคิดค้นสูตรอาหารใหม่ๆ อยู่ตลอดเวลา ซึ่งในเรื่องจะมีการอธิบายสูตร วัตถุดิบและเครื่องปรุง ที่ใช้ทำอาหารในเรื่องอย่างละเอียด
  • Mister Ajikko - เรื่องที่เกี่ยวพ่อครัวที่เป็นเด็ก (ในไทยใช้ชื่อเรื่อง "พ่อครัวรุ่นจิ๋ว")
  • Bambino - เรื่องการฝึกงานของหนุ่มมหาลัย ในร้านอาหารอิตาลี่
  • Kuitan - เป็นการผสมระหว่าง Cooking Manga กับ แนวนักสืบ
  • Toriko - จุดเด่นของเรื่องจะอยู่ที่ การใช้วัตถุดิบที่เป็นสัตว์ในจินตนาการ นำทำอาหาร เช่น เสือเขี้ยวดาบ เป็นต้น ซึ่งตัวเอกจะไปล่ามาเอง (เท่าที่ดูคือล่ามาเพื่อทำอาหารแล้วกินเอง ผมเห็นภาพแล้วนึกถึงเกม Monster Hunter ก่อนอย่างอื่นเลย)
  • Gokudou Meshi - เรื่องการทำอาหารของนักโทษในคุก ซึ่งรอลุ้นถึงอาหารพิเศษที่จะมีในช่วงปีใหม่
  • GU-RA-ME - เรื่องของเชฟหญิงที่ทำอาหารในยุโรป ในเรื่องนี้ พิธีกรได้เดินทางไปสัมภาษณ์ผู้เขียนบท และผู้เขียนภาพ ซึ่งจะทำงานคนละที่กัน มีจุดน่าสนใจตรงคำแนะนำของผู้เขียนภาพว่า เวลาอาหารหลายๆ ชนิดอยู่บนโต๊ะเดียวกัน เราต้องคอยระวังเรื่องสีของอาหาร เพราะภาพที่สีเข้มจะดึงดูดความสนใจของผู้อ่านไป และอาจทำให้ภาพนั้นเสียสมดุลย์ไป จึงต้องคอยระวังในการจัดวางอาหาร รวมไปถึงลักษณะของแสงและเงาอีกด้วย นอกจากนั้นเขาก็เล่าว่าปรกติเขาเมื่อเขาต้องเขียนภาพใน Manga เขาจะเดินทางไปให้เพื่อนของเขาที่เป็นกุ๊กทำอาหารนั้นให้ดูแล้วถ่ายภาพมาในมุมต่างๆ เพื่อใช้ในเป็นตัวอย่างในการเขียน

3. Readers have 4 Aspects ดังนี้

  1. Character feels good when eat - ภาพที่เห็นความสุขของตัวละครเวลากินอาหารนั้น ทำให้คนอ่านรู้สึกดี (ผมคิดว่าตรงจุดนี้อาจคล้ายเวลาเรามีความสุข เมื่อเห็นคนอื่นมีความสุข)
  2. "Battles" - Cooking Manga มักจะสร้างสถานการณ์ที่ต้องต่อสู้กัน
  3. Personal Growth - การเติบโตของตัวละครในเรื่อง
  4. Knowledge - ผู้อ่านมุ่งหวังที่จะได้ความรู้ที่สอดแทรกในเรื่อง เช่น เรื่อง Different Ingredients, Recipe เพราะ Cooking Manga คือ การเปิดเผยโลกของผู้เชี่ยวชาญ (Explore world of craftsman) ซึ่งเป็นสิ่งที่สร้างความน่าสนใจในการติดตามของผู้อ่าน

4. Cooking Manga เป็น Manga ที่มีผู้อ่านในทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเด็กผู้ชาย ผู้หญิง หนุ่ม หรือ แก่ จึงมีใน Magazine ของญี่ปุ่นทุกๆ แบบ

5. Developing a kind of Communication with the readers - อันนี้คือคำพูดของนักเขียน Cooking Manga เรื่อง Cooking Papa ที่ไปทำอาหารให้ผู้ที่มาในงานได้ชิม เพื่อการก้าวไปอีกขั้นหนึ่งของการสื่อสารเรื่องราวของ Manga ให้กับผู้อ่าน

6. With Success Story without food - นักวิจารณ์เขาบอกว่า "อย่างไรก็ดีเรื่องราวของการ์ตูนต้องสามารถประสบความสำเร็จได้ แม้จะไม่มีเรื่องอาหารเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยเลยก็ตาม"

Else :

1. The World god only knows - เขาว่าเรื่องนี้มาแรงมากที่ญี่ปุ่น ผมเลยต้องไปหาอ่านดู






ภาพจาก : Title: 神のみぞ知るセカイ 第01巻 / The World God Only Knows Vol.01 Author: 若木民喜 / Wakaki Tamiki



2. 7th Dragon - เขาเอา Director ที่สร้างเกมนี้ (Reiko Kodama เป็นผู้หญิงครับ) มาคุยประมาณ 5 นาทีสุดท้าย

  1. หน้าที่ของ คือ Game Director ต้องรวบรวมแนวทางของเกมที่แต่ละฝ่ายอย่างจะสร้างสรรค์ขึ้นมา ทั้งฝ่ายโปรแกรม ฝ่าย CG ฝ่ายเสียง ฝ่ายวางแผน ฝ่ายขาย และอื่นๆ เพื่อสร้างเกมที่ทุกๆ ฝ่ายอย่างสร้างสรรค์ขึ้นมาจริงๆ
  2. งานของ Game Director จะรวมไปถึง เมื่อ (1) เกมที่ทีมคนสร้างอยากสร้างเป็นอย่างนี้ (2) เกมที่ตลาดต้องการเป็นอย่างนั้น (3) เกมที่บริษัทที่จะนำเกมนี้ไปขายเป็นอย่างโน้น เราก็ต้องพยายามประสานแนวทางทั้งหมดเพื่อสร้างสรรค์เกมออกมา
  3. สุดท้าย ในฐานะที่เขาเป็นผู้หญิง เขาก็ไม่คิดจะทำเกมที่ผู้หญิงคนอื่นๆ เกลียดออกมา แม้ว่าตลาดเกมจะเป็นผู้ชาย 80% และผู้หญิง 20% ก็ตาม
ภาพจาก : เกมของ NDS ชื่อ 7th Dragon

เรื่องการแข่งขัน Click 2 Win

เรื่องการแข่งขัน Click 2 Win ที่มา http://click2win.tsi-thailand.org/

ในฐานะที่เป็นคนที่ลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ อย่างต่อเนื่องประมาณ 4-5 ปีที่ผ่านมา สำหรับการแข่งขัน Click 2 Win นี้ ผมอยากแนะนำว่าคุณอาจเล่นเหมือนเป็นเกม แต่แนะนำว่าอย่าถือเป็นจริงเป็นจังครับ เพราะบ่อยครั้ง ท่านที่ทำกำไรได้มากๆ มักจะเกิดความรู้สึกว่า เล่นหุ้นมันง่าย และอยากให้ที่กำไรเป็นเงินจริงๆ แต่ในตลาดหุ้นในระยะสั้น มันจะมีความคล้ายคลึงกับการเป็น Zero Sum Game (เกมที่ผลรวมเป็นศูนย์ คือ เมื่อรวมผลกำไรของทุกๆ คนในเกมจะเท่ากับผลขาดทุนของทุกๆ คนที่เหลือในเกม) หรือบ่อยครั้งหุ้นที่ดีไม่จำเป็นต้องทำให้ท่านกำไร และหุ้นที่ไม่ดีอาจกำไรจนท่านรู้สึกเสียดายที่ไม่ได้ซื้อมัน

คำแนะนำของผม คือ จงศึกษาให้ดีก่อนถ้าคิดจะลงทุนจริงๆ ท่านอาจเคยได้ยินประโยคนี้มาบ้างแล้ว แต่ผมก็ยังยืนยันให้ทำเช่นนั้น เพราะการซื้อขายหุ้นนั้น มันเหมือนจะง่าย แต่ก็ไม่ได้ง่ายจนถึงกับไม่ต้องศึกษาก่อน และมันก็อาจดูเหมือนยาก แต่จริงๆ แล้ว ก็ไม่ยากจนต้องเกรงกลัวถึงขนาดที่มิอาจแตะต้องได้ เคยมีคำกล่าวในสมัยก่อนที่ว่า "สิ่งที่ท่านไม่มีความรู้เพียงพอจะทำอันตรายท่านได้ แต่สิ่งที่ท่านเข้าใจมันมากพอจะสร้างประโยชน์ให้ท่านได้เช่นกัน" ตัวอย่างหนึ่งที่ไม่ไกลตัวเลย ก็คือ ไฟฟ้า ที่มีคุณอนันต์ ถ้าใช้เป็น และก็อาจมีโทษมหันต์ สำหรับผู้ที่ไม่ระมัดระวัง

โดยส่วนตัวแล้ว สำหรับผม หุ้นคือการลงทุนที่สามารถวางแผนได้ เพื่อสร้างผลตอบแทนได้มากกว่าการฝากธนาคาร หรือซื้อพันธบัตรรัฐบาลในช่วงเวลาที่เหมาะสมครับ ผมไม่ได้หวังว่ามันจะสร้างผลตอบแทนมหาศาลในระยะสั้น และเข้าใจดีว่ามันมีความเสี่ยงที่จะดูเหมือนจะขาดทุนไปบางส่วนในบางช่วงเวลา แต่การได้เริ่มลงทุนตั้งแต่เงินน้อยๆ ก็จะทำให้ท่านได้เรียนรู้ถึงผลกระทบที่มีต่อจิตใจ และความนึกคิดของท่าน เมื่อเจอกับคลื่นลมที่ผันผวนในทะเลที่ชื่อว่า "ตลาดหลักทรัพย์" และเมื่อวันหนึ่งที่ท่านมีประสบการณ์มากขึ้น ท่านก็พร้อมที่จะรับผิดชอบต่อเงินของท่านที่มากขึ้นได้ง่ายขึ้นกว่า ถ้าท่านจะเริ่มต้นในวันที่มีเงินมากอยู่แล้วอย่างแน่นอน

สุดท้ายนี้ขอให้ทุกท่านที่มีความพยายาม จะสามารถประสบความสำเร็จได้ดังหวังครับ

21 กรกฎาคม 2552

มหาวิหารโนเทรอดามแห่งชาร์ตร์ (Chartres Cathedral)

มหาวิหารโนเทรอดามแห่งชาร์ตร์ (Chartres Cathedral) ภาพจาก Wikipedia
ที่มาของภาพ : Wikipedia
  1. เป็นมหาวิหารที่สร้างในช่วงปีค.ศ. 1200 เนื่องจากเมืองชาร์ตร์และโบสถเดิมถูกไฟไหม้วาดวาย

  2. เดิมโบสถ์เป็นสถานที่ที่มีนักแสวงบุญแวะเวียนมาอย่างต่อเนื่อง เพราะเป็นที่เก็บรักษาของผ้าที่อ้างว่าพระแม่มาเรียใช้ในวันประสูติของพระเยซูคริตส์ ซึ่งได้รับพระราชทานจากกษัตริย์ในราวปีค.ศ. 800

  3. เนื่องจากโบสถ์ถูกไฟไหม้ และคาดว่าผ้าของพระแม่มาเรียก็ถูกไฟไหม้ไปแล้วเช่นกัน ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของเมืองอย่างมาก เนื่องจากนักแสวงบุญไม่มาสักการะอีก จึงทำให้เมืองขาดรายได้ (ผมคิดว่าแนวคิดของนักแสวงบุญ คงเหมือนนักท่องเที่ยวแบบหนึ่ง ซึ่งบางทีเราควรหันมามองการสนับสนุนของชุมชนเพื่อรักษาสิ่งดึงดูดนักท่องเที่ยวประจำถิ่นของตนเองเอาไว้)

  4. บิชอปผู้ดูแลวางแผนสร้างมหาวิหารขนาดใหญ่เพื่อเพิ่มอำนาจของศาสนจักร และได้ความช่วยเหลือจากสถาปนิกผู้ยิ่งใหญ่ แต่กลับไม่ได้รับการบันทึกชื่อเป็นผู้วาดแบบ

  5. คาดว่าต้องใช้เงินจำนวน 1000 ล้านดอลลาร์ในปัจจุบันเพื่อสร้างจึงมีแผนการระดมทุนมากมาย เช่น มีการประกาศว่ามีปาฏิหารย์ที่ผ้าของพระแม่มาเรียรอดจากไฟไหม้ จึงได้รับเงินบริจาคจำนวนมากจากเมืองและคนที่มีศรัทธาจากทุกสารทิศ

  6. มหาวิหารสร้างจากรูปทรงพื้นฐานตามแนวคิดแบบ Gothic คือ วงกลม , สี่เหลี่ยม , และสามเหลี่ยมหน้าจั่ว

  7. แบบเดิมเป็นอาคารสี่เหลี่ยมผืนผ้าธรรมดาแต่บิชอบต้องการให้อาคารเป็นรูปไม้กางเขนขนาดใหญ่ที่สามารถเห็นได้จากบนสวรรค์ (ผมไม่ทราบว่ามหาวิหารอื่นเป็นแบบนี้หรือไม่ ซึ่งถ้าไม่เหมือนแล้วผมคิดว่ามันเป็นแนวความคิดที่น่าจะแปลกและสร้างสรรค์มากในการสร้างอาคารเป็นไม้กางเขนขนาดใหญ่ในปีค.ศ. 1200)
  8. ภาพจาก : http://www.flickr.com/photos/77615443@N00/63515225/
    ภาพจาก : http://www.greatbuildings.com/buildings/Chartres_Cathedral.html
  9. การสร้างต้องใช้หินปูนจำนวนมาก ซึ่งการสร้างมหาวิหารในสมัยก่อนใช้วิธีนำล่องมาทางแม่น้ำ แต่ติดปัญหาที่แม่น้ำของเมืองค่อนข้างเล็กจึงทำเช่นปรกติมิได้ จึงมีการเสาะหาแหล่งหินราคาถูกใกล้เมือง ซึ่งเป็นโชคดีที่ได้พบแหล่งหินห่างออกไปจากเมืองไม่มากนัก มิเช่นนั้นคาดว่าคงมิได้สร้าง เนื่องจากการขนหินจากระยะทางไกลจะใช้งบประมาณสูงมาก

  10. แรงงานในการตัดและขนหินในการก่อสร้างส่วนใหญ่เกิดจากกำลังของชาวเมืองที่มีแรงศรัทธา ไม่ว่าเศรษฐีหรือยาจก ใช้รถลากขนกันอย่างต่อเนื่อง

  11. การสร้างใช้ช่างฝีมือราว 500 คน จึงคาดว่ามีการจัดแบ่งเป็น "สหภาพแรง" ขึ้นครั้งแรกของโลก

  12. การสร้างประสบปัญหาเรื่องการเงินหลายครั้งซึ่งมีทำให้เกิดการเก็บภาษีจากคนในเมือง ซึ่งสร้างความไม่พอใจอย่างมาก ต่อชาวเมืองและราชนิกูลผู้ครองแผ่นดินบริเวณนั้น

  13. ภายหลังบิชอปต้องออกไปสงครามศักดิ์สิทธิ์ ราชนิกูลจึงฉวยโอกาสปลุกระดมชาวเมืองให้ทำลายการสร้างโบสถ แต่โชคดีที่โบสถไม่เสียหายมาก บิชอบจึงฟ้องกษัตริย์ของฝรั่งเศส ทำให้ราชนิกูลและชาวเมืองต้องชดใช้ค่าเสียหายคิดเป็นเงินประมาณ 20 ล้านดอลลาร์เทียบค่าเงินปัจจุบัน

  14. การสร้างมีการใช้นวัฒกรรมใหม่ๆ หลายอย่าง เช่น การใช้สถาปัตยกรรมแบบ โค้งยอดแหลม (คิดว่าน่าจะหมายถึง Gothic arches) แทนที่โค้งยอดมนซึ่งทำให้จำเป็นสร้างกำแพงกว้างๆ คล้ายโคโลเซียม แต่การสร้างแบบโค้งยอดแหลมจะช่วยให้กระจายน้ำหนักลงบนเสาแคบๆ ได้ดีกว่าจึงทำให้อาคารโปร่งและแสงเข้ามาในอาคารได้มาก

  15. มีการใช้การดัดแปลง trebuchet เพื่อใช้ในการขนหินและโครงไม้ขึ้นไปบนที่สูงราว 36 เมตรซึ่งในอดีตทำไม่ได้

  16. มีการเพิ่มการค้ำยันแบบปีกออกไปในแนวเสาด้านนอกเพื่อค้ำยันให้แรงที่กระจายออกไม่ทำให้อาคารฉีกเป็นชิ้นๆ ผลคือทำให้อาคารโปร่งมาก และมีส่วนของกระจกสีเพื่อให้แสงผ่านได้เยอะมาก
  17. ภาพการค้ำยันแบบปีกจาก : http://www.americansinfrance.net/Attractions/Chartres-Cathedral-Flying-Buttress.cfm
  18. มีการคิดค้นกระจกสีแบบใหม่ ปัจจุบันให้ชื่อว่าสีน้ำเงินแบบชาร์ตร์ เนื่องจากหลังจากช่างทำกระจกสีทำกระจกสีให้มหาวิหารนี้แล้ว ก็นำเคล็ดลับวิธีการผสมสีแบบนี้ลงหลุมไปด้วย ดังนั้นจึงมีกระจกสีน้ำเงินแบบนี้ที่นี่ที่เดียวเท่านั้น

  19. บิชอปเสียชีวิตหลังจากสร้างได้ 25 ปี จึงทำให้งานล่าช้าไปจนเลยไปถึงอีก 60 ปีจึงจะแล้วเสร็จ แม้ว่าโครงสร้างส่วนใหญ่จะเสร็จแล้วก็ตาม

  20. การเปิดมหาวิหารยิ่งใหญ่มาก แม้ว่าจะอยู่ในเมืองเล็กๆ มีกษัตริย์แห่งฝรั่งเศสเสด็จมาเปิด ซึ่งชาวเมืองภาคภูมิใจอย่างมาก เนื่องจากลงทั้งเงิน และแรงงานสร้างอย่างต่อเนื่องจนเป็นมหาวิหารที่ยิ่งใหญ่ขนาดนี้

  21. สุดท้ายเรื่องการเดินเข้าจะต้องเดินไปตามรูปภาพบนพื้นซึ่งเป็นเขาวงกต แทนที่เขาวงกตแห่งชีวิต เมื่อถึงจุดศูนย์กลางให้เงยหน้าขึ้นเพื่อมองความยิ่งใหญ่ของโบสถ (ผมคิดว่าแนวคิดนี้แปลกดีนะครับ เพราะมันเป็นเหมือนพิธีกรรมที่ให้คิดถึงความหมายของการมีชีวิตอยู่ของคนแต่ละคน ผมคิดว่าตอนคุณเดินวนไปรอบๆ คุณคงได้คิดถึงสิ่งที่ผ่านมา สิ่งที่ทำอยู่ และสิ่งที่กำลังจะทำต่อไป รวมไปถึงคุณค่าและความหมายของการกระทำนั้นๆ)
ภาพทางวงกตที่พื้นมหาวิหารจาก : http://www.crystalinks.com/labyrinths.html
ที่มาของข้อมูล : Thai PBS รายการท่องโลกกว้าง เวลา 18:00-19:00 น. ของวันจันทร์ที่ 20 กรกฎาคม 2552

หมายเหตุ : คำในวงเล็บ คือ ความเห็นของผมมิใช่ข้อมูลจากรายการ หากไม่เหมาะสมประการใดจึงขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยครับ

เริ่มต้นซะทีกับความคิดแปลกๆ ของผม

คิดอยู่นานแล้วเหมือนกันว่าอยากลองทำบล็อกที่มีประโยชน์กับคนอื่นดูสักครั้ง บางทีอาจไม่ได้มีประโยชน์กับ "ทุกคน" แต่หวังว่าจะมีประโยชน์กับ "บางคน" ที่อาจไม่ค่อยมีเวลา หรือมีโอกาสแบบที่ผมมี

หวังว่าบล็อกนี้จะทำให้ท่านได้ประโยชน์ใดๆ บ้าง ไม่มากก็น้อยครับ

หมายเหตุ
1. อาจมีข้อมูลหรือข้อความบางส่วน ผิดพลาดหรือคลาดเคลื่อนไปจากข้อมูลที่เป็นจริงไปบ้าง โปรดแนะนำผมด้วยเพื่อการปรับปรุงแก้ไขให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับคนอื่นๆ ต่อไป
2. ถ้าหากข้อมูลใดๆ ถือว่าผิดกฎหมายเกี่ยวกับลิขลิทธิ์ในการนำเสนอ หรือเห็นว่าไม่เหมาะสม สามารถแจ้งให้ผมทราบได้โดยตรง เนื่องจากข้อมูลทั้งหมด มักมาจากสารคดี รายการทีวี รวมถึงช่อง NHKWorld เกือบทั้งสิ้น

ด้วยความนับถือ
แมนครับผม

หมายเหตุ
ที่มาของข้อมูลจาก :
1. รายการ Imagine-Nation ช่อง NHK World
ถ้าใครมีเคเบิ้ล หรืออื่นๆ ที่ดู NHK World ได้ เวลาตามเมืองไทยที่ผมดู คือ
วันพุธ 06:30-07:00, 10:30-11:00, 14:30 - 15:00, 18:30 - 19:00 (เวลาที่ดูบ่อยสุด), 22:30 - 23:00
คืนวันพุธ เช้าวันพฤหัส 02:30 - 03:00
หรือรายการจะมีซ้ำๆ กันทุก 4 ชั่วโมงโดยในวันนั้นจะเหมือนกันทุกรอบครับ
2. รายการ Tokyo Eye ช่อง NHK World
ถ้าใครมีเคเบิ้ล หรืออื่นๆ ที่ดู NHK World ได้ เวลาตามเมืองไทยที่ผมดู คือ
วันพุธ 07:30-08:00, 11:30-12:00, 15:30 - 16:00, 19:30 - 20:00, 23:30 - 24:00
คืนวันพุธ เช้าวันพฤหัส 03:30 - 04:00
หรือรายการจะมีซ้ำๆ กันทุก 4 ชั่วโมงโดยในวันนั้นจะเหมือนกันทุกรอบครับ
(แต่ผมไม่ค่อยเน้นดู Tokyo Eye มาก ดังนั้นคงไม่ค่อยได้นำมาแนะนำกันนะครับ)